เคยเป็นมั้ย ? มีแผลเป็นนูนเกิดขึ้นที่ใบหูและดูเหมือนว่าจะมีขนาดขยายใหญ่ขึ้นจนเห็นได้ชัด หรือในบางรายขนาด แผลนูน ก็ใหญ่พอ ๆ กับใบหู ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกอาการนี้ว่า โรคคีลอยด์ใบหู ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกิดบาดแผลที่บริเวณใบหู รวมไปจนถึงการ เจาะหู ก็เป็นต้นเหตุของการเกิดแผลเป็นนูนได้
นอกจากนี้ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีก้อนเนื้อคล้าย ๆ คีลอยด์บนใบหู นั่นก็คือ มะเร็ง ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายเป็นอย่างมาก และอาการของคีลอยด์ และมะเร็งจะแตกต่างกันอย่างไรบ้างนั้น สามารถติดตามรายละเอียดได้ในบทความนี้
คีลอยด์ ที่เกิดขึ้นบนส่วนต่าง ๆ ของร่างกายรวมไปถึงที่บริเวณใบหูเอง ไม่ได้อันตรายร้ายแรง หรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย แต่จะส่งผลในด้านภาพลักษณ์ หรือด้านความมั่นใจมากกว่า เพราะแผลเป็นนูนคีลอยด์เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัด มองดูแล้วไม่สบายตา ไม่สวยงาม
และแผลเป็นนูนที่บริเวณใบหูเองถ้าหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานก็อาจจะให้เกิดการผิดรูปของใบหูได้ เนื่องจากแผลเป็นจะขยายตัวออกได้เรื่อย ๆ แต่อย่างไรก็ตามแผลคีลอยด์จะไม่ส่งผลกระทบต่อการได้ยิน หรือการรับรู้ของหู สามารถได้ยินเสียงได้เหมือนคนปกติทั่วไป
แผลเป็นนูน หรือ คีลอยด์ (Keloid) เป็นสภาวะผิดปกติของการรักษาบาดแผล ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศไหน อายุเท่าไร และอาจจะพบว่าคนที่มีผิวคล้ำ ผิวสี หรือชาวแอฟริกันมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลคีลอยด์ได้มากกว่าคนผิวขาวมากถึง 5 เท่า
แผลนูน หรือคีลอยด์นี้จะพบเจอในหมู่วัยรุ่นมากกว่าวัยสูงอายุ ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลคีลอยด์บริเวณใบหูนั้นจะเกิดจากการเจาะหู การระเบิดหู ที่ทำให้เกิดบาดแผลแล้วมีการดูแลรักษาที่ไม่ดีพอ
หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าตนเองอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเป็นคีลอยด์หรือไม่ สามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้จากการสังเกตที่รอยที่บริเวณหัวไหล่ ซึ่งเป็นรอยที่เกิดจากการฉีดวัคซีน ถ้าหากพบว่ารอยแผลนั้นเป็นแผลเป็นนูน นั่นก็แสดงว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นคีลอยด์ได้สูง
และการป้องกันการเกิดคีลอยด์ที่บริเวณใบหู สามารถทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดบาดแผลที่ใบหู และคนที่มีโอกาสเกิดแผลคีลอยด์ได้ง่ายกว่าคนทั่วไปควรงดการเจาะหู เพราะถ้าหากดูแลบาดแผลได้ไม่ดี หรือแผลติดเชื้อ ก็ทำให้มีโอกาสเกิดคีลอยด์ได้มากกว่าปกติ
โดยปกติแล้วคีลอยด์ที่เกิดขึ้นบริเวณใบหูสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า และเมื่อสัมผัสแล้วจะพบว่ามีความนิ่ม สัมผัสแล้วเหมือนยางลบ ผิวบริเวณแผลเป็นนูนจะมีความเรียบ แต่ถ้าเป็นเนื้องอก หรือก้อนมะเร็ง เมื่อสัมผัสดูจะพบว่ามีความเจ็บปวด และก้อนเนื้อจะมีการเติบโตที่รวดเร็วกว่าแผลนูนคีลอยด์ ก้อนเนื้อจะขยายใหญ่ขึ้นภายในเวลา 1 สัปดาห์เมื่อเทียบกับแผลคีลอยด์ที่จะต้องใช้เวลานานกว่า 1-3 เดือนในการขยายตัว บริเวณที่เป็นก้อนเนื้อจะไม่มีอาการคัน และแตกเป็นแผลได้เองแม้จะไม่มีการเกา มะเร็งที่ใบหูจะพบได้ในผู้สูงอายุได้มากกว่าในกลุ่มเด็กวัยรุ่น
การรักษาแผลนูนคีลอยด์ที่ใบหูมีด้วยกันหลายวิธี โดยแพทย์จะพิจารณาจากขนาดของแผล ถ้าหากแผลเป็นนูนมีขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตร จะใช้การรักษาด้วยวิธีการฉีดยาสเตียรอยด์ เป็นการฉีดยาเข้าก้อนคีลอยด์โดยตรง หรือที่เรียกว่า Intralesional
แต่ถ้าหากขนาดแผลนูนนั้นมีขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร ก็อาจจะต้องมีการรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับการใช้ยาสเตียรอยด์ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะไม่แนะนำให้รักษาโดยดารผ่าตัด เพราะเป็นการสร้างบาดแผลใหม่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดคีลอยด์ขึ้นได้
แนวทางในการผ่าตัดคีลอยด์ที่เกิดขึ้นบริเวณใบหู จะทำการผ่าแบบยกผิวหนังใบหูขึ้น เพื่อให้คงรูปใบหูไว้ แล้วแพทย์จะตัดเอาเฉพาะก้อนคีลอยด์ออกไป จากนั้นถึงเย็บปิดแผลให้สนิท และในวันที่ตัดไหมแพทย์จะทำการฉีดยาสเตียรอยด์ เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแผล
และในกรณีที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดคีลอยด์ซ้ำได้สูงกว่าคนทั่วไป อาจจะต้องผ่าตัดร่วมกับการฉายแสง เพราะการฉายแสงจะมีส่วนช่วยในการยับยั้งการสร้างตัวของเซลล์ โอกาสที่จะเกิดคีลอยด์ซ้ำก็น้อยลง และบางครั้งก็มีการใช้ยาไมฌตซินในการป้องกันการเกิดคีลอยด์ซ้ำอีก การรักษาทั้งหมดแพทย์จะพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป
การเกิดแผลเป็นนูนขนาดใหญ่หรือคีลอยด์ถือเป็นโรคที่ไม่ได้มีความรุนแรงถึงขนาดที่จะสร้างอันตรายให้ถึงแก่ชีวิตได้ แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษาก็อาจจะเกิดการติดเชื้อ ซึ่งถ้าหากติดเชื้อแล้วจะก่อให้เกิดอันตรายได้ ถ้าหากพบว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นตามร่างกายมีการขยายตัว เป็นแผลนูนที่ใหญ่กว่าแผลเดิม
ควรเข้ารับการรักษาให้เร็วที่สุด และถ้าหากว่าอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นคีลอยด์ได้สูงกว่าปกติก็ยิ่งต้องมีขั้นตอนการดูแลตัวเองเมื่อเป็นแผลที่มากกว่าคนอื่น และที่สำคัญคีลอยด์ยังเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อีกด้วย