เสริมคาง เป็นการเสริมความงามเพื่อการ ปรับรูปหน้า ซึ่งในปัจจุบัน มีวิธีการเสริมคาง ให้ได้สัดส่วนด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์ เติมคาง หรือการผ่าตัดเสริมคาง ด้วยซิลิโคน หรือแม้แต่การผ่าตัด ย้ายกระดูกบริเวณคาง โดยที่คุณสามารถเลือกวิธีการเสริมคางได้ตามงบ และความเหมาะสม มีหลายเคส ที่ประสบกับปัญหา หลังเสริมคาง ไม่ว่าจะเป็นคางเป็นก้อน คางเบี้ยวผิดรูป ซึ่งในบทความนี้ เราจะมารวบรวมเอาสาเหตุหลัก ที่ทำให้เกิดปัญหาหลังจากที่ทำคางไปแล้ว และวิธีการดูแลตัวเอง เพื่อลดโอกาสเสี่ยง ไม่ให้เกิดปัญหาตามมาหลังจากการ ทำคาง
การศัลยกรรมเสริมคาง เป็นหนึ่งในทางเลือกของ การแก้ไขรูปหน้า ที่ไม่ได้สัดส่วน ปรับใบหน้าให้เรียวยาว และได้สัดส่วนที่ดีขึ้น ซึ่งการเสริมคางในปัจจุบันจะมีอยู่ 2 วิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก นั่นก็คือ การเสริมคางด้วยการฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็ม เข้าไปเพื่อเสริมความยาวของคาง ทำให้ใบหน้าเรียวยาว ในการฉีด ฟิลเลอร์คาง จะไม่ได้อยู่อย่างถาวร เพราะเป็นสารประเภท HA ที่จะมีการสลายตัว ได้ตามธรรมชาติ ฟิลเลอร์จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี และมีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถเสริมคางให้ยาวมากเกินกว่า 1 เซนติเมตร
อีกหนึ่งวิธีก็คือ การเสริมคางด้วยซิลิโคน ซึ่งซิลิโคนคางมีให้เลือกด้วยกันหลายแบบ สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น ซิลิโคนขาสั้น หรือซิลิโคนขายาว โดยแต่ละแบบก็ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับรูปหน้าที่แตกต่างกัน และปัญหาคางที่ต่างกันไม่ว่าจะเป็น คางสั้น คางตัด คางไม่ได้รูป หรือคางถอย จุดเด่นของการเสริมคางด้วยซิลิโคนก็คือ จะสามารถเสริมคางได้ยาวมากกว่า 1 เซนติเมตร แต้ข้อจำกัดของการผ่าตัดเสริมคางก็คือ จะต้องมีการพักฟื้น และต้องดูแลตัวเองหลังจากการผ่าตัด เพราะอาจจะมีโอกาสเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังจากการผ่าตัดเสริมคาง ในกรณีผ่าตัดแบบแผลนอก ควรระมัดระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ โดยการไม่ให้แผลเปียกน้ำ อาจจะต้องงดการสระผม รวมไปถึงลดการล้างหน้าในช่วงเวลานี้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ได้ตามที่คาดหวัง เพราะถ้าแผลโดนน้ำก็จะยิ่งทำให้โอกาสการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ถ้าหากผ่าตัดด้วยเทคนิค เปิดแผลในช่องปาก ต้องรักษาความสะอาดด้วยการบ้วนปาก
ในช่วงที่คางยังไม่เข้าที่ ควรระมัดระวังเรื่องของการกระทบกระเทือน ไม่ควรให้เกิดการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงที่บริเวณคาง เพราะอาจจะทำให้ซิลิโคนมีการเคลื่อนจากตำแหน่งเดิมได้ ทำให้คางเสียรูป คางเบี้ยวเอียง
ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังจากที่เสริมคางมา ควรในท่าที่เหมาะสม คือนอนราบโดยยกหัวสูง เพราะในช่วงเวลานี้ คางที่เสริมมาจะยังไม่เข้าที่ ถ้าหากนอนตะแคงอาจจะทำให้เกิดการกดทับ และส่งผลให้คางเบี้ยว เอียง ไปตามองศาของการนอนได้นั่นเอง
อาหารแสลงในทีนี้ หมายถึงอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารทะเล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน รวมไปถึงของหมักของดอง เพราะอาการเหล่านี้อาจจะมีสารปนเปื้อน ทำให้แผลผ่าตัดหายได้ช้า มีโอกาสติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ควรงดทานอาหารเสริม หรือวิตามินต่าง ๆ ตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อให้แผลผ่าตัดหายได้เร็วขึ้น
ปัญหาที่พบได้หลังจากการศัลยกรรมคาง สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการดูแลตัวเอง หลังจากการผ่าตัดที่ไม่เหมาะสม การไม่ทำความสะอาดแผลผ่าตัด การปล่อยให้แผลโดนน้ำ การนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม เกิดการกดทับ คางที่เสริมมาเบี้ยวเอียง และยังเกิดได้จากการเสือกเสริมคางกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ขาดทักษะหรือเทคนิคการเสริมคางที่ดี ซึ่งอาการที่บอกว่าคางที่เสริมมามีปัญหาสามารถสังเกตได้ดังนี้
การดูแลตัวเองหลังจากการผ่าตัดเสริมคาง จะต้องประคบเย็นต่อเนื่องในช่วง 3 วันแรกหลังจากที่เสริมคางไปแล้ว จะช่วยลดอาการบวมได้เป็นอย่างดี โดยในการประคบจะประคบที่บริเวณข้างแก้มทั้งสองฝั่ง อย่าให้สัมผัสกับบริเวณที่มีซิลิโคน ในวันที่ 4 จึงเริ่มประคบอุ่นจนกว่าจะตัดไหม
เพื่อป้องกันการเบี้ยวเอียงของคาง และป้องกันการกดทับ ที่จะทำให้คางเสียรูปทรง จำเป็นจะต้องนอนหมอนสูง ห้ามนอนตะแคงในช่วง 2 สัปดาห์แรก
ในกรณีผ่าตัดแบบเสริมคางแบบแผลนอก ควรระมัดระวังไม่ให้แผลสัมผัสกับน้ำ ไม่ให้แผลเปียก เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อที่บริเวณแผลผ่าตัด
งดทานอาหารแสลง อย่างของหมักดอง อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารทะเล อาหารที่มีรสจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ ทั้งนี้ต้องงดทานอาหารเสริม รวมไปถึงวิตามินต่าง ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน หลังจากที่เสริมคาง
รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบ ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาลดอาการบวม และยาแก้ปวด ทั้งนี้ต้องทานยาตามเวลาที่ระบุ เพื่อให้แผลผ่าตัดหายได้ไวขึ้น และยังช่วยลดเวลาในการพักฟื้นได้อีกด้วย