” การดริปผิวช่วยให้ผิวขาวใสได้จริงหรือ? แล้วการดริปผิวอันตรายไหม? การดริปผิวกับฉีดผิวกและการทาน วิตามิน กลูต้าอะไรปลอดภัยและเห็นผลไวกว่า? ต้องดริปกี่ครั้งถึงจะเห็นผล? ” ทั้งหมดนี้คือคำถามที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจสาวๆหนุ่มๆใช่หรือไม่ วันนี้ UD Clinic จะพาไขข้อสงสัย ตอบทุกคำถาม ขจัดความสงสัยให้กระจ่าง ว่าจริงๆการให้วิตามินผิวทางสายน้ำเกลือ “IV Drip” หรือการดริปวิตามินผิวนั้นจริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่
การให้วิตามินผิว ( Vitamin ผิว ) หรือการดริปผิว IV Drip คือ การผสมวิตามินและแร่ธาตุเข้ากับน้ำเกลือในปริมาณที่เหมาะสม เฉพาะตามความต้องการของร่างกายของแต่ละบุคคล และให้ทางเส้นเลือดเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ซึ่งร่างกายจะสามารถนำไปใช้ได้เลยทันที
การดริปวิตามินผิวถือเป็นวิธีเสริมสุขภาพผิวที่เหมาะกับกลุ่มผู้ที่มีความต้องการดังต่อไปนี้ ผู้ที่ต้องการความรวดเร็วในการเสริมระดับความกระจ่างใสของผิว (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละคน) ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตนเอง และต้องการวิธีเสริมสุขภาพผิวที่ใช้เวลาไม่นาน
จริงๆแล้วทางเลือกดูแลผิวด้วยการดริปวิตาติน ผู้เข้ารับวิตามินควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป การให้วิตามินผิว การดริปผิว ทำกี่ครั้งเห็นผล ? จำนวนครั้งที่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนั้น ประมาณ 3 – 5 ครั้ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แตกต่างกันไป เพราะในแต่ละบุคคลนั้น มีสุขภาพผิว หรือความสามารถในการดูดซึมสารต่างๆ และวิตามินที่แตกต่างกันไป โดยควรห่างกันประมาณสัปดาห์ละครั้ง เเละต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการดริป ถึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
ดริปผิว(IV DRIP) VS ฉีดผิว(IV BOOST) เหมือนหรือต่างกันอย่างไร วิธีไหนเห็นผลไวที่สุด จริงๆแล้วการดริปผิวกับการฉีดผิวโดยทั่วไปแล้วจะแตกต่างกันที่วิธีการการนำตัวยาเข้าสู่ร่างกาย
IV Boost – เป็นการฉีดเข้าเส้นเลือดโดยตรง ซึ่งข้อดี : ดูดซึมได้รวดเร็ว และใช้เวลาไม่นาน
ข้อเสีย : กรณีที่เส้นเลือดเล็กหรือเส้นเลือดเปราะบาง อาจมีอาการแสบบริเวณเส้นเลือดขณะฉีดหรือรู้สึกระคายเคืองได้
IV Drip – ฉีดวิตามินผ่านสายน้ำเกลือ วิธีนี้เป็นการปล่อยตัวยาด้วยความเข้มข้นและปริมาณคงที่ โดยวิธีนี้จะช่วยลดอาการแสบของเส้นเลือด และสามารถควบคุมความเข้มข้นของตัวยาได้
ข้อดี : ไม่รู้สึกเจ็บ ลดอาการแสบบริเวณเส้นเลือด เพราะวิตามินจะถูกเจือจางเข้าร่างกายด้วยปริมาณที่คงที่
ข้อเสีย : ใล้เวลานานในการดริป ประมาณ 30-45 นาที
ถ้าเปรียบเทียบการกินวิตามินกับการฉีดอย่างไหนดีกว่ากัน ต้องบอกว่าดีทั้งคู่ แต่การฉีดวิตามินจะได้ผลที่ไวกว่า ได้รับทั้งสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ ครบถ้วนมากกว่า การกินที่ต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซึมอย่างน้อยถึง 3 เดือน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอาศัยความมีวินัย การสม่ำเสมอ และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคลด้วย
การฉีดวิตามินหรือทำ IV Drip จะปลอดภัยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การซักประวัติ เตรียมให้พร้อมร่างกายก่อนให้วิตามิน ตรวจร่างกายก่อนให้วิตามิน การเลือกชนิดหรือสูตรวิตามิน ซึ่งจะนำมาใช้ได้นั้นต้องผ่านการรับรองโดย อย. เสียก่อน รวมถึงต้องมีการประเมินปริมาณวิตามินที่ควรให้ในแต่ละครั้งอย่างเหมาะสม ซึ่งที่ UD Clinic มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำที่ตรงจุด และวิตามินของเราเป็นวิตามินสูตรเข้มข้น และมีการรับรอง อย. ดังนั้น การดริปวิตามินที่ UD Clinic จึงเป็นอีก 1 ทางเลือกที่สาวๆหนุ่มๆ หลายๆคนให้ความสนใจและเข้ามาใช้บริการ
แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นข้อเสียของการดริปวิตามินผิวคือ
สุดท้ายแล้วสิ่งที่อยากจะบอกเพื่อนๆทุกคนคือ ไม่ว่าจะดูแลผิวด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่หากเรามีวินัย ทำมันอย่างสม่ำเสมอ รู้จักดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ รับรองได้ว่าเห็นผลแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยนะคะ