เชื่อว่านอกจาก ริ้วรอย ความหย่อนคล้อยของผิว ที่เป็นปัญหาใหญ่แล้ว ฝ้า ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา ที่สร้างความกังวลให้กับใครหลาย ๆ คน เช่นกัน เพราะการเกิดฝ้า นั้นเป็นปัญหาผิวที่รักษาได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากฝ้าเป็นปัญหาผิว ที่เกิดอยู่ทั้งในชั้นผิวหนังกำพร้า และผิวในชั้นหนังแท้ แต่ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ ก็ทำให้สามารถรักษาฝ้าให้ดีขึ้นได้ หลังจากการรักษา ก็ต้องมีการดูแลตัวเอง เพื่อป้องกัน การเกิดฝ้า การกลับมาเป็นซ้ำ ถ้าหากว่าคุณอยากมีผิวหน้าที่กระจ่างใสขึ้น ไร้จุดด่างดำ ไร้ฝ้า คุณต้องห้ามพลาดบทความนี้
ถ้าหากสังเกตเห็นว่าบนผิวหน้า มีรอยคล้ำเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือเป็นสีดำ และรอยนั้นอาจจะเกิดเป็นกระจุก ๆ อยู่ตามใบหน้า นั่นก็คือฝ้า ซึ่งเป็นภาวะที่เซลล์เม็ดสีทำงานมากผิดปกติ เมื่อเม็ดสีเมลานินมากขึ้น จึงทำให้ผิวบริเวณนั้น มีสีเข้มมากว่าบริเวณอื่น ๆ ปัญหาผิวนี้มักพบ ในช่วงวัยตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่จะพบในผู้หญิงมากกว่า ซึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้านั้น มีปัจจัยกระตุ้นด้วยกันหลายอย่าง
ฝ้าแต่ละประเภท จะมีลักษณะเฉพาะตัว มีความแตกต่างกันทั้งสี รูปร่าง รวมไปถึงวิธีการรักษาก็แตกต่างกันออกไปด้วย โดยทั่วไปฝ้าจะถูกแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
เป็นฝ้าที่มีลักษณะเป็น รอยสีน้ำตาลคล้ำ สีดำ สีแดง หรือสีเทาอมม่วง เกิดจากการที่ผิวของเรา สัมผัสกับรังสียูวีเอ และยูวีบี ในแสงแดด ทั้งนี้รวมไปถึงแสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ และหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วย การที่ต้องเจอกับแสงเหล่านี้บ่อย ๆ จะทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ใบหน้าดูโทรม
ฝ้าลึก คือฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นผิวชั้นลึก จุดสังเกตคือ ฝ้าที่เกิดในชั้นลึกจะมองเห็นขอบเขตไม่ชัดเจน มีสีอ่อน ซึ่งฝ้าอาจจะมีน้ำตาล หรือสีเทา ฝ้าลึกเป็นฝ้าขนิดที่รักษาได้ค่อนข้างยาก ใช้เวลาในการรักษานานกว่าที่ฝ้าจะจางลง
ฝ้าตื้น คือฝ้าที่เกิดในชั้นผิวหนังกำพร้า ผิวชั้นนอกสุด จุดสังเกตฝ้าตื้นก็คือ จะมองเห็นขอบเขต ของการเกิดฝ้าได้อย่างชัดเจน ฝ้าจะมีสีน้ำตาลเข้ม ในการรักษาฝ้าตื้น จะทำได้ง่ายกว่าการรักษาฝ้าลึก
ฝ้าเลือด มีสาเหตุมาจากความผิดปกติ ของระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกาย จากการที่สัมผัสกับรังสียูวี เป็นเวลานาน หรืออาจจะเกิดจากการใช้ยา ที่เกี่ยวกับระบบฮอร์โมนในร่างกาย ส่งผลต่อการทำงานที่ผิดปกติของเส้นเลือดฝอย ทำให้เกิดเป็นรอยปื้นสีแดงบนผิวหน้า และยังเกิดได้จากการใช้เครื่องสำอาง ที่มีส่วนผสมของ ไฮโดรควิโนน ในปริมาณมาก รวมไปถึงเครื่องสำอางที่มีปรอท หรือสเตียรอยด์ เป็นส่วนประกอบ
เป็นลักษณะของฝ้าหลากหลายแบบ ที่อยู่บนใบหน้า จะเป็นฝ้าที่มีสีเข้ม และขอบเขตของฝ้า จะจางไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน ในการรักษาจะต้องมีวิธีการรักษา ที่หลากหลายทั้งวิธีการรักษาฝ้าแบบลึก และฝ้าแบบตื้น
เมื่อทราบถึงสาเหตุ ของการเกิดฝ้า ปัจจัยที่กระตุ้นทำให้เกิดฝ้า ดังนั้นการหลีกเลี่ยง ปัจจัยเหล่านั้นจึงเป็น การป้องกันการเกิดฝ้าได้ดีที่สุด เพราะในปัจจุบัน การรักษาฝ้าให้หายขาดทั้งหมดเลย เป็นไปได้ค่อนข้างยาก ผลลัพธ์หลังจากการรักษา อาจจะทำให้ฝ้าดูจางลง แต่ฝ้าก็สามารถกลับมาเป็นใหม่ได้ ซึ่งการดูแลตัวเองที่เหมาะสมก็ได้แก่ หลีกเลี่ยงการออกไปกลางแจ้งในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีรังสียูวีเข้มข้นมาก ๆ
หรือเมื่อต้องออกไปกลางแจ้งจะต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 50 ขึ้นไป หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของ ไฮโดรควิโนน, ปรอท หรือสเตียรอยด์ รวมไปถึงเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนหรือสารสกัดจากรก (Placental extract) และถ้าหากทานยาคุมกำเนิดแล้วเกิดฝ้า อาจจะต้องใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นแทน