เรื่องที่จะเอามาฝากในวันนี้ เป็นหัวข้อที่น่าสนใจมาก และเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับใครหลาย ๆ คน เพราะในปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคนั้น เปลี่ยนไปจากเเต่ก่อนมาก เพราะผู้บริโภคต่างศึกษา หาข้อมูล เพื่อจะได้ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดี ก่อนจะตัดสินใจซื้อ เช่น การ ฉีดโบ
ผู้บริโภคจะอ่านข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เพื่อจะได้ทำความเข้าใจ แต่ก็ใช่ว่าข้อมูลเหล่านั้นจะเชื่อถือได้ทั้งหมด 100 % ในบทความนี้เราจึงได้รวบรวมเอาข้อมูลที่น่าสนใจ เกี่ยวกับเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิด กับการฉีดโบ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนการเข้ารับบริการ
การฉีดโบ เพื่อการปรับรูปหน้าและการเสริมความงาม เป็นสารที่สกัดได้จากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ซึ่งสารพิษที่ได้จากแบคทีเรียชนิดนี้จะมีด้วยกันอยู่ 7 ชนิด คือ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิดเอ, ชนิดบี, ชนิดซี, ชนิดดี, ชนิดอี, ชนิดเอฟ และชนิดจี
โดยแต่ละชนิดจะมี กลไกการทำงานที่แตกต่างกัน และโบที่มีขายอยู่ในท้องตลาดจะเป็น ชนิดเอและชนิดบี โบจะอยู่ในรูปของโปรตีน ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ จะไปจับกับปลายประสาทที่มีส่วนควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ และจะไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทบริเวณที่นั้น ๆ
ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ถูกฉีดโบไม่สามารถหดตัวได้ และอยู่ในสภาพคลายตัว กลไกการออกฤทธิ์นี้จึงทำให้รอยย่น ริ้วรอยบนใบหน้าจางลง กล้ามเนื้อทำงานลดลง ก็ทำให้กล้ามเนื้อนั้นมีขนาดเล็กลงในที่สุด ซึ่งการออกฤทธิ์ของโบ จะอยู่ได้โดยเฉลี่ยประมาณ 3-6 เดือน
ไม่เพียงแค่ใบหน้าเท่านั้น ที่สามารถ ฉีดโบ เพื่อปรับรูปหน้าได้ แต่โบยังถูกนำไปฉีดตามส่วนอื่น ๆ ได้หลายจุด เช่น การฉีดโบริ้วรอย จะฉีดลดเลือนริ้วรอยที่บริเวณหางตา ระหว่างคิ้ว ริ้วรอยบนหน้าผาก การฉีดโบปรับรูปหน้า จะเป็นโบยกกระชับกรอบหน้าหรือ ที่เรียกว่า โบลิฟต์หน้า และโบลดกราม นอกจากเรื่องความงาม
โบยังสามารถนำไปฉีดกล้ามเนื้อขา เพื่อลดขนาดของน่อง รวมไปถึงการฉีดโบรักแร้ เพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ และในทางการแพทย์ก็ยังมีการเอาโบ ไปใช้รักษาอาการที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อ และระบบประสาท เช่น รักษาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ รักษาอาการปวดไมเกรนเรื้อรัง และรักษาภาวะที่เหงื่อออกมากเกินไป
การฉีดโบที่ถี่และฉีดมากเกินไป ก็ถือเป็นสาเหตุใหญ่ ๆ ที่ส่งผลให้เราดื้อโบ เนื่องจากหากร่างกายของเราได้รับโบมาก ๆ ร่างกายจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย ส่งผลให้สุดท้ายแล้ว การฉีดโบในครั้งต่อไป จะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง
และการฉีดโบในแต่ละครั้งนั้นไม่ควรเกิน 300 ยูนิต/ครั้ง หลายคนมีความเชื่อว่า ยิ่งอัดโบเข้าไปเยอะ ๆ ยิ่งเห็นผลชัด อยู่ได้นาน บอกเลยว่าความเชื่อนี้ผิดมหันต์ เพราะการที่เราฉีดเข้าไปเยอะเกินกว่าที่ร่างกายรับไหว ก็จะทำให้เกิดสารตกค้างในร่างกายได้ และจะดื้อโบไปในที่สุด
เป็นประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะการโบที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายดื้อโบ ฉีดเข้าไปแล้วไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง แต่จริง ๆ แล้ว โบที่บรรจุอยู่ในขวดจะเป็นผลึกสีขาวแห้ง ๆ อยู่ที่ก้นขวด ดังนั้นจึงต้องมีการผสมน้ำเกลือก่อน เพื่อที่จะดึงตัวยาออกมาฉีดลงบนใบหน้าได้
ซึ่งในการผสมน้ำเกลือจะต้องมีอัตราส่วนที่ถูกต้อง เช่น ในการละลายตัวยาปริมาณ 100 ยูนิต จะต้องใช้น้ำเกลือปริมาตร 2.6 cc เพราะถ้าหากเจือจางเกินไป ตัวยาจะกระจายไปยังบริเวณอื่น ผลลัพธ์จะไม่เป็นตามที่ต้องการ และยังทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้อีกด้วย เช่น หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ตาตก
ปกติพวกริ้วรอย บนผิวหน้า จะมาตามวัย โดยฌแพาะในช่วงอายุ 35 ปี จะเริ่มเห็นริ้วรอย ความหย่อนคล้อยได้ชัด และอาจจะมีหลายคนที่มองว่า หากเราฉีดโบไปตั้งแต่อายุยังน้อย นั้นถือว่าเป็นการป้องกันริ้วรอยในระยะยาว เมื่อเราอายุมากขึ้น ซึ่งจากผลงานการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญ ด้านพฤติกรรมสุขภาพ ให้ความเห็นว่า
หากเราเริ่มฉีดโบเพื่อป้องกันริ้วรอยตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเราอายุมากขึ้น ริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจน ในชั้นผิว และริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ จะเกิดได้ช้ากว่าคนที่ไม่ได้ฉีดโบป้องกันริ้วรอยไว้
สุดท้ายแล้วอยากจะฝากทุกคนว่า เมื่อเราได้รับข้อมูลใดมา ก็ควรจะศึกษาข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง เพื่อนำมาเปรียบเทียบ พิสูจน์ข้อเท็จจริงของข้อมูลนั้น ๆ และอย่าเพิ่งไปหลงเชื่อข้อมูลจากเพียงเเหล่งเดียว หรือหากมีข้อสงสัย อยากจะเข้ามาปรึกษาคุณหมอ ที่ UD Clinic
ก็สามารถจองคิวปรึกษาหน้าเพจ สาขาใกล้บ้านได้เลย ที่ UD Clinic เราให้คำปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย มีคุณหมอที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เชื่อถือได้ ให้คำปรึกษาอย่างจริงใจ ตรงไป ตรงมา และอยากให้ทุกคนดูดี มั่นใจในแบบที่ตัวเองเป็น