การดึงหน้า เป็นการผ่าตัดศัลยกรรม เพื่อทำให้ใบหน้าดูเด็กลง เพราะ ใคร ๆ ก็ต้องการ ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ซึ่งเทรนด์ความงามแบบนี้ ไม่ได้จะพึ่งมาได้รับความนิยม หรือเพิ่งถูกค้นพบในปัจจุบัน แต่ประวัติศาสตร์การ ดึงหน้า นั้นมากกว่านั้น โดยมีจุดเริ่มต้น เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงยุคที่ ศาสตร์ด้านการแพทย์ ยังล้าหลังอยู่ ความน่าสนใจของ การผ่าตัดดึงหน้า คือ มีการพัฒนา เทคนิคการผ่าตัดอยู่ตลอด นั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ความงาม เป็นเรื่องที่มนุษย์ให้ความสำคัญ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
การผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า นั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1900 หรือเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ในสมัยนั้นเทคโนโลยี รวมไปถึงวิวัฒนาการด้านการแพทย์ ยังไม่เทียบเท่าในยุคปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษา องค์ความรู้เกี่ยวกับ Anatomy หรือ ความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ ไม่มีทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ เรื่องของเส้นประสาท และกล้ามเนื้อ ข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ก็ค่อนข้างที่จะคลุมเครือ เพราะไม่ได้มีบันทึกไว้ว่า แพทย์ท่านใดคือคนแรก ที่ทำการผ่าตัดดึงหน้า แต่ยุคแห่งการดึงหน้าจะแบ่งออกตามเทคโนโลยีทางการแพทย์ดังนี้
การผ่าตัดดึงหน้า ในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนนั้น การแพทย์ยังไม่ได้มีการพัฒนามากเท่าไรนัก และยังไม่มีความรู้ เกี่ยวกับ Anatomy และเส้นประสาท ดังนั้นการผ่าตัดดึงหน้า ในยุคแรก จะเป็นเพียงการผ่าตัดดึง เฉพาะบริเวณผิวหนังเท่านั้น โดยจะตัดเอาเฉพาะผิวหนัง ที่บริเวณไรผมเล็ก ๆ และทำการเย็บกลับคืนไป เพื่อทำให้ผิวหนังตึงเพียงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วความหย่อนคล้อยของคนเรา เกิดขึ้นในชั้นลึกมากกว่านั้นด้วย จึงทำให้ผลลัพธ์ในการดึงหน้า ไม่เห็นผลลัพธ์ได้ดีเท่าที่ควร แก้ไขความหย่อนคล้อยได้น้อยมาก และยังพบว่าหลังจากการดึงหน้าไปแล้ว ก็กลับมามีผิวหย่อนคล้อยเหมือนเดิม
หลังจากผ่านในช่วงยุคแรก ๆ ของการดึงหน้ามาแล้วเป็นเวลากว่า 40 ปี ศาสตร์ด้านการศัลยกรรมเริ่มเฟื่องฟู มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์มากขึ้น เริ่มทราบว่ากล้ามเนื้ออยู่ส่วนไหน และเส้นประสาทอยู่ส่วนไหน และเริ่มมีการศึกษาว่าความหย่อนคล้อยของใบหน้าเกิดอยู่ในทุก ๆ ชั้นของใบหน้า โดยจะมีทั้งหมด 5 ชั้นด้วยกัน นับตั้งแต่ชั้นผิว จนถึงชั้นลึก ชั้นใต้กล้ามเนื้อ จึงเกิดการผ่าตัดแก้ไขความหย่อนคล้อยจากทั้ง 5 ชั้น มีการเปิดแผลจากไรผมไปจนเกือบถึงกึ่งกลางใบหน้า ผลที่ได้หลังจากการผ่าตัด คือ อาการบวมช้ำที่กินเวลานาน เกิดจากการผ่าตัดที่มากเกินไป ใช้เวลาในการพักฟื้นนาน และเห็นได้ว่าหลังจากผ่าตัดดึงหน้าแล้ว ใบหน้าไม่ม่ความเป็นธรรมชาติ เพราะตึงมากเกินไป ขยับกล้ามเนื้อไม่ได้
สำหรับการดึงหน้าในช่วงเวลานี้ ถือเป็นการผ่าตัดยุคใหม่ เวลาผ่านมาราว ๆ 10 ปี การผ่าตัดดึงหน้าได้ถูกพัฒนาเป็นอย่างมาก การค้นพบสิ่งสำคัญที่จะปฏิวัติการดึงหน้าแบบโบราณ การเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดจากการที่ศัลยแพทย์ ค้นพบว่า การดึงหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยนั้น ไม่ต้องอาศัยการดึงทั้งใบหน้า หรือการดึงในชั้นที่ลึกที่สุด แบบก่อนหน้านี้ แต่สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยของใบหน้าได้จากการดึงชั้นกล้ามเนื้อที่ใกล้กับชั้นไขมัน หรือที่เรียกว่า ชั้น SMAS
ซึ่งขั้นตอนการดึงหน้านั้น ศัลยแพทย์จะดึงเย็บชั้นกล้ามเนื้อนี้ให้ตึงขึ้น หรือมีการตัดชั้นกล้ามเนื้อบางส่วนออกก่อนการเย็บให้ตึง ซึ่งการเย็บแค่ชั้นกล้ามเนื้อ หรือ SMAS เพียงชั้นเดียวก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ใบหน้าทั้งเกือบทุกส่วนตึงขึ้น ยกกระชับขึ้นได้พร้อม ๆ กัน มีความเป็นธรรมชาติ หลังจากการผ่าตัดจะเห็นผลยาวนานมากขึ้น เมื่อเทียบกับการดึงหน้าในยุคแรก และการดึงหน้าในชั้นกล้ามเนื้อ ยังเป็นต้นแบบของการผ่าตัดดึงหน้าในยุคปัจจุบันอีกด้วย
การผ่าตัดศัลยกรรม ดึงหน้า ในยุคปัจจุบัน มีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัด บวกกับมีเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์เข้ามามากขึ้น ทำให้การดึงหน้ามีความหลากหลาย โดยสามารถออกแบบเทคนิคการผ่าตัด เพื่อให้ตอบโจทย์กับปัญหาความหย่อนคล้อยของผิว ที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคลได้ และผู้ที่มีความกังวลเรื่องความหย่อนคล้อยของใบหน้ายังสามารถ เลือกการผ่าตัดดึงหน้าแบบเฉพาะส่วนได้อีกด้วย หลัก ๆ สามารถแบ่งสัดส่วนได้ดังนี้
ถึงแม้ว่าหลักการผ่าตัดดึงหน้า จะมีที่มาเดียวกัน แต่ด้วยทักษะ ความเชี่ยวชาญและประสบการ์ของศัลยแพทย์ที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดการคิดค้นเทคนิคพิเศษขึ้นมาเฉพาะ เพื่อทำให้การผ่าตัดดึงหน้านั้นดูเป็นเรื่องไม่น่ากลัว และในครั้งหน้าเราจะมาเล่าถึงเทคนิคการดึงหน้าเฉพาะ ที่ทางทีมแพทย์จาก UD Clinic ได้คิดค้นมาเพื่อให้แก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด